วันอังคารที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2559

ชิวาวา




ชิวาวา
        จะเห็นได้ว่าเซเลบฯในฮอลลี้วู้ดหลายคนชอบหิ้วเจ้ามะหมาตัวเล็กกระจิ๊ดริดไว้ในกระเป๋าข้างกาย เจ้ามะหมาที่ว่านั่นจะเป็นพันธุ์ใดไม่ได้เลย หากไม่ใช่พันธุ์ชิวาวา ซึ่งจัดได้ว่าเป็นสุนัขพันธุ์ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก และในปัจจุบันสุนัขพันธุ์ชิวาวากำลังเป็นที่นิยมกันมากของเหล่าผู้ที่รักสุนัข เพราะด้วยขนาดตัวของมันและอุปนิสัยที่ขี้เล่น น่ารัก ผู้คนส่วนใหญ่จึงนิยมนำเจ้าชิวาวามาเลี้ยงนั่นเอง
 ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไปของสุนัขพันธุ์ชิวาวา
        หลาย ๆ คนลงความเห็นว่า สุนัข ชิวาวา มีนิสัยที่ค่อนข้างติดเจ้าของและไม่ทำลายข้าว ขี้ประจบมาก อ้อน บางครั้งก็เป็น สุนัข ที่หยิ่งในตัว ถ้าไม่ใช่เจ้าของจะไม่ให้จับต้อง ปากเปราะเห่าเสียงดังเหมือน สุนัข พันธุ์เล็กตัวอื่น ๆ ทำให้ สุนัข ชิวาวา เหมาะที่จะเลี้ยงไว้สำหรับเป็นเพื่อนมากกว่าหมาเฝ้าบ้าน แต่จากการสำรวจของเดลิเมล์ พบว่า ชิวาวา สามารถสร้างความเสียหายให้เจ้าของได้เฉียด 40,000 บาท ตลอดช่วงอายุขัยของมัน เรียกได้ว่า เป็นรองแค่สุนัขพันธุ์เกรทเดนที่สร้างความเสียหายให้ทรัพย์สินและที่อยู่อาศัยของเจ้าของเฉลี่ย 41,540 บาท โดยอาจอ้างได้ว่าเป็นเพราะขนาดตัวของสุนัขพันธุ์นี้มีขนาดใหญ่
 การเลี้ยงดูสุนัขพันธฺุ์ชิวาวา
          สุนัขพันธุ์ชิวาวาเพศผู้อายุ 1 ปี จะเริ่มเป็นสัดซึ่งเร็วกว่าเพศเมีย เริ่มเหล่หนุ่มตอนช่วงอายุ 18 เดือน หลังจากผสมพันธุ์แล้วตกลูกเต็มที่ 1-3 ตัว น้ำหนักตั้งท้องจะมีขนาด 2 กิโลกว่า ลูกสุนัข มีน้ำหนัก 1 ขีด ไม่เกิน 2 ขีด มีขนาดเล็กมาก แรกเพิ่งคลอดต้องคอยดูแลให้ สุนัข กินนมแม่ ซึ่งช่วงนี้ควรระวังเรื่องโรคต่าง ๆ
          พออายุราวเดือนครึ่ง ควรเริ่มฝึกให้ สุนัข ชิวาวา กินอาหารเม็ดด้วยการแช่น้ำให้นิ่ม หรือผสมนมแพะเล็กน้อย หรือให้ อาหารเหลวสำหรับ ลูกสุนัข เป็นการฝึกให้สุนัขเลียหรือกินอาหารได้เอง 

     

ปั๊ก




ปั๊ก
          ในปัจจุบัน คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักสุนัขสายพันธุ์ปั๊กเป็นแน่ เนื่องด้วยกระแสความนิยมในสุนัขสายพันธุ์นี้ที่เริ่มมีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะด้วยอุปนิสัยน่ารักน่าเลี้ยงก็ดี หรือจะด้วยรูปร่างหน้าตาที่เป็นเอกลักษณ์ มองอย่างไรก็ไม่เบื่อ ชวนให้หัวเราะแล้วอารมณ์ดีทุกคราที่มองปั๊กน้อย สิ่งเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นเหตุผลที่ทำให้คนไทยหันมาเลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้มากขึ้นตามลำดับ
          ด้วยความร่าเริงที่ไม่เหมือนใคร หน้าตาแลดูฉงนปนทะเล้น และอารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลา ทำให้ปั๊กไม่เพียงแต่เป็นที่นิยมเลี้ยงในประเทศไทยเท่านั้น หากแต่ยังแพร่หลายมากขึ้นทั่วโลกอีกด้วย
 ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไปของสุนัขพันธุ์ปั๊ก
           สุนัขพันธุ์นี้เป็นที่นิยมเลี้ยงกันมากในปัจจุบัน เนื่องจากมีนิสัยน่ารัก ถึงหน้าตาของเขาจะดูเหมือนคิดมากไปสักหน่อย แต่ถ้าได้ลองเลี้ยงแล้วจะหลงใหลไม่รู้ตัว เพราะความอ่อนโยนของมัน ข้อควรระวังในการเลี้ยงคือสภาพอากาศที่ร้อน ปั๊กจะทนไม่ค่อยได้ ถ้าทนไม่ไหวอาจเป็นลมแดดได้ และถ้าอากาศเย็นควรให้อยู่ในที่อุ่น ๆ หรือหาเสื้อมาสวมให้เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นหวัด
 การเลี้ยงดูสุนัขพันธฺุ์ปั๊ก
         แม้สุนัขพันธุ์นี้จะไม่ต้องการการดูแลเสริมสวยให้ยุ่งยากมากนัก แต่ก็จำเป็นต้องได้รับการรักษาความสะอาดทุกวัน อีกทั้งการดูแลเอาใจใส่ในเรื่องของการออกกำลังกาย ก็เป็นสิ่งสำคัญ ถึงแม้ปั๊กจะไม่ใช่สุนัขที่รักกีฬา แต่การพาเขาไปออกกำลังกายให้พอเพียง ก็จะช่วยให้เขาไม่อ้วนและกลายเป็นสุนัขที่เฉื่อยชาจนเกินไป
         เนื่องจากรูปทรงของตาและใบหน้าทำให้สุนัขสายพันธุ์นี้มีแนวโน้มที่จะเกิดการบาดเจ็บที่ตาได้ง่าย ถ้าปั๊กของคุณกำลังถูตาอยู่ กระพริบตาถี่ ๆ มีน้ำตาไหลมากเกิน หรือตามีการเปลี่ยนสีไป ควรปรึกษาสัตวแพทย์ของคุณโดยทันที และการที่เป็นสุนัขจมูกสั้น เขาจึงมักมีปัญหาเกี่ยวกับเพดานปากอ่อน จึงจำเป็นต้องตรวจสอบอยู่เสมอ
          นอกจากนี้ ปั๊กยังมีความเสี่ยงที่จะอ้วนได้ง่าย ดังนั้น การควบคุมปริมาณอาหารและการออกกำลังกายจึงเป็นสิ่งจำเป็น โครงสร้างกะโหลกศีรษะที่สั้น ส่งผลให้ปั๊ก มักมีปัญหาระบบทางเดินหายใจส่วนต้น โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูงหรือภายหลังการออกกำลังกายอย่างหนัก จึงควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่มากเกินไป และการเลี้ยงดูในสถานที่ที่มีอุณหภูมิสูง

พุดเดิ้ล





พุดเดิ้ล
          สุนัขพันธุ์พุดเดิ้ลได้ชื่อว่าเป็นสุนัขที่มีความนิยมอันดับหนึ่งของโลกและขึ้นชื่อว่าฉลาด ฝึกง่าย สอนง่าย ขี้อ้อน และประจบเก่งเป็นที่สุด แถมยังอดทนไม่ขี้แย เลี้ยงง่าย แม้จะปากเปราะไปบ้างแต่ก็ไม่ได้เป็นหมาที่เห่าไม่รู้เรื่อง ยิ่งในบ้านเรา พุดเดิ้ลสายพันธุ์นิยมเลี้ยงกันคือ พุดเดิ้ลทอย มันกลายเป็นหวานใจตัวจ้อยของหลาย ๆ ครอบครัว เพราะขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ แถมยังมีลักษณะเป็นเหมือนเหมือนตุ๊กตาที่มีชีวิต สดใสมีชีวิตชีวา มีนิสัยรักสวยรักงาม ชอบเสริมสวย ชอบเที่ยว และเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวได้เร็ว
 ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไปของสุนัขพันธุ์พุดเดิ้ล
          พุดเดิ้ล ถูกจัดอยู่กลุ่ม สุนัข ที่ไม่ใช้ในเกมกีฬา (Non sporting Group) เป็นสุนัขประเภทสวยงาม ปากเรียวยาว ดวงตากลมโต หูห้อยลงมาปิดแก้ม ขนดกและหยิกชนิดติดหนัง ขนสั้นและเงางาม ขนค่อนข้างละเอียด เรียบ หยาบเล็กน้อยและไม่มีขนปุกปุย สีขนมีตั้งแต่สีน้ำตาลอ่อนจนถึงน้ำตาลแก่ มีขนสีขาวแต้มบริเวณหน้าอกเรียกว่า สตาร์ ข้อเท้า และปลายหาง อาจจะมีจุดสีขาวเล็กน้อยบริเวณใบหน้า จมูกจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อมันตกใจ
 การเลี้ยงดูสุนัขพันธฺุ์พุดเดิ้ล
          อาหารการกินของสุนัขพุดเดิ้ล ควรให้เป็นอาหารสำเร็จรูปจะดีที่สุด อาหารสำเร็จรูปนั้นมีอยู่หลายสูตรด้วยกัน ได้แก่ อาหารสูตรลูกสุนัข อาหารสูตรสุนัขโต และอาหารสูตรสุนัขแก่ การให้อาหารก็ควรให้ตรงตามอายุและสูตร เนื่องจากสุนัขในแต่ละวัยนั้นมีความต้องการอาหารที่แตกต่างกัน อย่างเช่น ลูกสุนัข จำเป็นต้องได้รับสารอาหารจำพวกโปรตีนสูงกว่าสุนัขโต ในขณะที่ร่างกายของสุนัขโตจะต้องการอาหารประเภทพลังงานมากกว่าโปรตีน อย่างนี้เป็นต้น และปริมาณการให้อาหารก็ไม่ควรมากจนเกินไป เพราะพุดเดิ้ล จัดเป็นสุนัขพันธุ์เล็กที่กินไม่มาก
          นอกจากเรื่องของโภชนาการแล้ว การให้อาหารสุนัขยังควรคำนึงถึงความสะอาดเป็นสำคัญ เจ้าของต้องคอยหมั่นดูแลภาชนะใส่อาหารและสถานที่กินให้สะอาดเรียบร้อยอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคต่าง ๆ ที่พร้อมจะทำร้ายสุนัขของเรา ส่วนในด้านการดูแลความสะอาดของพุดเดิ้ลจะต้องใส่ใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องหู เพราะพุดเดิ้ลมีใบหูที่ใหญ่ หนา ห้อยปรกลงมา จึงต้องหมั่นสำรวจดูใบหูบ่อย ๆ แล้วใช้สำลีเช็ดทำความสะอาดให้หมดจด ซึ่งจะดีมากหากจะหยอดน้ำยาเช็ดหูเข้าไปก่อนประมาณ 5 นาที เพื่อทำให้สิ่งสกปรกอ่อนตัว และง่ายในการเช็ดออกมา แต่ระวังอย่าแหย่สำลีลึกจนเกินไป เพราะอาจจะเป็นอันตรายต่อหูชั้นในได้
          นอกจากนี้ ตาก็เป็นอวัยวะสำคัญที่พบปัญหา พูเดิ้ลส่วนใหญ่จะมีร่องน้ำตาที่เห็นได้ค่อนข้างชัด ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้คราบน้ำตาหรือสิ่งสกปรกไปหมักหมมได้ง่าย เจ้าของจึงควรคอยเช็ดทำความสะอาดให้ทุกวัน เพราะหากทิ้งไว้นาน ๆ คราบนั้นจะฝังแน่นอย่างถาวร เช็ดไม่ออก นอกจากนั้น ยังควรหมั่นตรวจดูดวงตาของพูเดิ้ลด้วยว่ามีฝ้าขาว ๆ หรือรอยขีดข่วน รอยแผลบ้างหรือไม่

ปอมเมอเรเนียน





ปอมเมอเรเนียน
           หากพูดถึงสุนัขตัวเล็ก ๆ ขนฟู ๆ หางเป็นพวง จมูกแหลม ๆ ตาแป๋วเป็นประกาย แน่นอนว่าสุนัขที่ว่านี้คือพันธุ์ ปอมเมอเรเนียน  ที่ไม่ว่าใครเห็นเป็นต้องขอจับ ขอสัมผัส ความน่ารักกันใกล้ ๆ แต่ที่เห็นน่ารัก ดูบอบบางเหมือนคุณหนูแบบนี้ แท้จริงแล้ว ปอมเมอเรเนียนมีต้นตระกูลมาจากสุนัขลากเลื่อนของประเทศไอซ์แลนด์และเลปแลนด์ บริเวณตอนเหนือของทวีปยุโรปโน่นแน่ะ
 ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไปของสุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียน
           ปอมเมอเรเนียน เป็นสุนัขที่มีขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 1.7-2.5 กิโลกรัม ถ้าน้ำหนักน้อยหรือมากกว่านี้ จะถือว่าไม่ได้มาตรฐานสายพันธุ์  เป็นสุนัขที่ว่องไวปราดเปรียว มีขนชั้นในที่แน่นและนุ่ม และมีขนชั้นนอกที่หยาบกว่าชั้นใน หางสวยงามเป็นพวงขน และตั้งอยู่ในตำแหน่งที่สูง หางจะขนานไปกับหลัง โดยลักษณะนิสัยพื้นฐานของปอมเมอเรเนียนนี้ คือ จะตื่นตัวเสมอ เห่าเก่ง  มีนิสัยอยากรู้อยากเห็น อวดดี สง่างาม และขณะก้าวย่างแสดงถึงความมีชีวิตชีวา เป็นพันธุ์สมบูรณ์ทั้งรูปร่างและการเคลื่อนไหว
 การเลี้ยงดูสุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียน
          การดูแลขนของปอมเมอเรเนียนต้องได้รับการแปรงขนทุกวันหรืออาทิตย์ละสองครั้ง ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อที่จะให้ขนที่หนาและสวยไม่พันกัน ขนของปอมเมอเรเนียน ต้องการการเล็มบ้างแค่ครั้งคราว ส่วนการดูแลหูและเล็บเป็นประจำเป็นสิ่งที่แนะนำรวมกับการอาบน้ำ อย่างไรก็ตาม ไม่ควรอาบน้ำให้ปอมเมอเรเนียนบ่อยมากจนเกินไป เพราะการอาบน้ำบ่อยจะทำให้หนังและขนเแห้งจนเกินไป เนื่องจากน้ำมันที่จำเป็นถูกล้างออกไปหมด 

          นอกจากการดูแลขนแล้ว สิ่งที่สำคัญที่มากที่สุดสำหรับสุนัขปอมเมอเรเนียน คือการได้รับการดูแลสุขภาพปากและฟันเป็นอย่างดี เนื่องจากปอมเมอเรเนียนง่ายต่อการสูญเสียฟันอันเนื่องมาจากปัญหาฟันผุ หรือสุขภาพเหงือกไม่ดี จึงต้องมั่นทำความสะอาดฟันให้เป็นประจำ และควรให้อาหารชนิดแห้งเพื่อลดปัญหาสุขภาพปากและฟัน

ชิสุ




ชิสุ
           อาจเป็นเพราะภาพลักษณ์หมาน้อยตากลมโต  ผูกโบว์ที่หน้าผาก มีขนยาวสวย ดูสง่างาม ขนาดพอเหมาะ พาไปไหนมาไหนได้ไม่ลำบาก แถมยังนิสัยเป็นมิตร ขี้เล่น และช่างประจบ เลยทำให้มีผู้คนจำนวนไม่น้อยหลงใหลได้ปลื้มเจ้าสุนัขพันธุ์ "ชิสุ" และเลี้ยงเป็นสมาชิกสี่ขาประจำครอบครัวกันอย่างแพร่หลาย แต่รู้ไหมว่าประวัติความเป็นมาของ สุนัข ชิสุ น่ะ เป็น ถึง 1 ใน 3 สุนัข ชั้นสูงจากจักรพรรดิจีนเชียวนะ 
 ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไปของสุนัขพันธุ์ชิสุ
           ชิสุ เป็น สุนัข ขนาดเล็กในกลุ่มทอย (Toy Group) มีน้ำหนักประมาณ 4.5 - 7.5 กิโลกรัม (หรือราว 10 - 16 ปอนด์) ส่วนสูงประมาณ 25 - 27 ซม. (หรือราว 10 - 11 นิ้ว) 

           ทั้งนี้ ชิสุ มีลักษณะนิสัย กล้าหาญ มีความตื่นตัว ขี้ประจบ มีความสง่าอยู่ในตัว เดินหน้าเชิด การย่างก้าวสง่าผ่าเผย นอกจากนี้ ชิสุ ยังรักความสะอาด เป็นมิตรกับทุกคน ปรับตัวได้ดี และชอบที่จะมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ กับเจ้าของในทุกเรื่อง แล้วก็ไม่ชอบถูกทิ้งไว้ในบ้าน ชิสุชอบวิ่งและรักความสนุกซึ่งเจ้าของจำเป็นจะต้องพามันออกไปวิ่งออกกำลังกายบ้าง
 การเลี้ยงดูสุนัขพันธุ์ชิสุ
           ชิสุมีอายุค่อนข้างยืนยาว คือประมาณ 10-18 ปี ตามแต่ปัจจัยต่าง ๆ เช่น อาหาร และการเลี้ยงดู โรคที่มักเกิดขึ้นกับชิสุ คือโรคตาแห้ง โรคหูน้ำหนวก หูอักเสบ โดยเจ้าของควรหมั่นทำความสะอาดตาและหูของชิสุ อย่างสม่ำเสมอด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดของมันโดยเฉพาะ ส่วนโรคอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับชิสุ ได้ เช่น โรคนิ่ว โรคไต และไส้เลื่อน
                    นอกจากนี้ ขนเป็นส่วนประกอบสำคัญที่เป็นตัวชี้วัดความสวยงามของชิสุ โดยเฉพาะ ชิสุเป็นสุนัขขนยาวที่จะต้องดูแลมากเป็นพิเศษ เนื่องจากมีขนเส้นเล็กและพันกันได้ง่าย หากไม่รู้จักวิธีการรักษาขนให้ดี ขนของชิสุจะพันกันและมีโอกาสเป็นโรคผิวหนังได้ง่าย ๆ ทั้งนี้ การแปรงขนอย่างสม่ำเสมอทุกวันจะช่วยให้ผิวหนังและขนสะอาดของชิสุเป็นเงางาม เพราะมีการนวดให้ต่อมน้ำมันที่โคนขนขับน้ำมันออกมาเคลือบเส้นผมได้มากขึ้น ทำให้ผิวหนังมีสุขภาพสมบูรณ์ และยังเป็นการช่วยขจัดรังแคและสิ่งสกปรกอื่นออกจากผิวหนังของชิสุด้วย
           อาหารที่เหมาะกับเจ้าชิสุสุดสวย ควรเป็นอาหารเม็ดมากกว่าอาหารกระป๋อง เพราะสุนัขมีขนยาว หากให้กินอาหารกระป๋องจะทำให้เลอะหนวดเครา เหม็นคาว ทำให้ต้องทำความสะอาดกันทุกครั้งไป และหากล้างออกไม่หมดก็จะกลายเป็นที่สะสมของเชื้อโรค อีกทั้งถ้าให้อาหารกระป๋องต้องใช้ให้หมดในคราวเดียว ไม่เช่นนั้นจะเสี่ยงต่อสุขภาพของชิสุของคุณได้ ดังนั้น ทางเลือกที่เหมาะที่สุดเห็นจะเป็นอาหารเม็ด ทั้งนี้ การเลือกซื้อควรเลือกประเภทสำหรับสุนัขพันธุ์เล็ก  โดยเลือกดูให้เหมาะกับช่วงวัยของชิสุด้วย เช่น ถ้าเป็นอาหารลูกสุนัขข้างถุงจะพิมพ์ไว้ว่า Puppy มีโปรตีนมากกว่า เม็ดจะเล็กกว่า และจะแพงกว่าอาหารสุนัขโตนิดหน่อย

วัดจองคำ






วัดจองคำ
วัดจองคำ พระอารามหลวง ตั้งอยู่บนทางหลวงลำปาง-งาว (ทางหลวงหมายเลข 1 หรือพหลโยธิน) หากเดินทางมาจากจังหวัดตากหรือกรุงเทพฯ วัดจองคำจะอยู่ซ้ายมือ ด้วยซุ้มประตูสีทองสลักลวดลายสวยงาม กำแพงหินเป็นแนวยาวกว่า 200 เมตร จึงทำให้วัดจองคำเป็นที่สะดุดตาของผู้ที่สัญจรไปมาอย่างพวกเราหลายๆ ครั้งในการจัดทริปเที่ยวทางเหนือจะผ่านวัดจองคำทำให้นึกในใจว่าหากมีโอกาสเวลาเอื้ออำนวยคงจะได้เข้าไปนมัสการพระและเก็บข้อมูลมาสักครั้ง

    *วัดจองคำ ศิลปะแบบไทยใหญ่ที่สวยงามตั้งอยู่ตำบลบ้านหวด บนถนนสายลำปาง-งาว ห่างจากตัวอำเภองาว 10 กิโลเมตร วัดจองคำเป็นวัดเก่าแก่แห่งหนึ่งในจังหวัดลำปาง สถาปัตยกรรมก่อสร้างโดดเด่นเป็นสง่า เป็นศิลปะแบบไทยใหญ่ ไม่ปรากฏหลักฐานการสร้างที่แน่ชัด ตัววิหารชัยภูมิศิลปะแบบไทยใหญ่หลังเดิมถูกรื้อย้ายมาไปไว้ ณ เมืองโบราณ จังหวัดสมุทรปราการ 

    วิหารไม้หลังที่เห็นปัจจุบันเป็นศิลปะที่สร้างขึ้นมาใหม่ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2549 สืบเนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ได้มีการยกวัดราษฎร์ขึ้นเป็นพระอารามหลวง วัดจองคำได้รับคัดเลือกให้เป็นพระอารามหลวงแห่งใหม่ในจังหวัดลำปาง และเป็นโรงเรียนสอนพระปริยัติธรรมแผนกบาลีประจำจังหวัดลำปาง

    แต่ละปีนักเรียนปริยัติธรรมสามารถสอบ เปรียญธรรมบาลีได้หลายประโยคจนถึง ป.ธ.9 ได้รับพระราชทานอุปสมบทเป็นนาคหลวงจำนวนมาก เจ้าอาวาสและเจ้าสำนักได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราช ในราชทินนามว่า พระราชปริยัติโยดม

    จากคำบอกเล่าของพระภิกษุผู้ดูแลวิหารหลังนี้ท่านเล่าว่าเจ้าอาวาสวัดจองคำเป็นพระภิกษุชาวพม่า บนวิหารจึงได้มีพระพุทธรูปศิลปะแบบพม่าซึ่งแกะสลักจากไม้ต้นเดียวทั้งองค์ด้วยลวดลายปราณีตงดงาม อยู่เป็นจำนวนมาก แสดงให้เห็นถึงศรัทธาที่เปี่ยมล้นในพระพุทธศาสนาของผู้แกะสลักองค์พระนี้
    ในวัดจองคำนอกจากจะมีวิหาร ซึ่งใช้เป็นทั้งศาลา วิหาร และกุฏิสงฆ์ แล้วยังมีเจดีย์และอุโบสถที่สร้างไว้ที่มุมด้านซ้ายของวัดที่แปลกกว่าวัดอื่นๆ ที่จะสร้างอุโบสถไว้ตรงกลาง
ซุ้มประตูและแนวกำแพงวัดจองคำลำปาง เป็นจุดเด่นของวัดที่สะดุดนักท่องเที่ยวที่เดินทางผ่านไปมาบนถนนพหลโยธิน หรือทางหลวงหมายเลข 1 (เส้นทางสู่เชียงใหม่) ที่หลายๆ คนโดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพก็อาจจะต้องชะลอรถลังเลอยู่หลายครั้งว่าจะเข้าหรือไม่เข้าดี ด้วยความสวยงามของซุ้มประตูสีทอง 2 ซุ้ม กับกำแพงวัดที่ยาวมากทำให้มีเวลาคิดอยู่นานกว่ารถจะวิ่งผ่านไป พอดีทริปพะเยาของเราพอมีเวลาเหลืออยู่ในระหว่างการเดินทางกลับกรุงเทพฯ เราจึงตัดสินใจแวะเข้าไป
ซุ้มประตูวัดจองคำลำปาง ภายในวัดมีทางแคบๆ พอให้รถวิ่งได้ระหว่างพระวิหารชัยภูมิกับบริเวณข้างอุโบสถ เมื่อเข้ามาเราก็ตรงไปยังพระวิหารซึ่งมีซุ้มประตูอยู่ตรงกับพระวิหารพอดี
         พระวิหารชัยภูมิวัดจองคำลำปาง สถาปัตยกรรมก่อสร้างโดดเด่นเป็นสง่า เป็นศิลปะแบบไทยใหญ่ ไม่ปรากฏหลักฐานการสร้างที่แน่ชัด ตัววิหารชัยภูมิศิลปะแบบไทยใหญ่หลังเดิมถูกรื้อย้ายมาไปไว้ ณ เมืองโบราณ จังหวัดสมุทรปราการ วิหารไม้หลังที่เห็นปัจจุบันเป็นศิลปะที่สร้างขึ้นมาใหม่ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2549 สืบเนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ได้มีการยกวัดราษฎร์ขึ้นเป็นพระอารามหลวง วัดจองคำได้รับคัดเลือกให้เป็นพระอารามหลวงแห่งใหม่ในจังหวัดลำปาง และเป็นโรงเรียนสอนพระปริยัติธรรมแผนกบาลีประจำจังหวัดลำปาง
          ทางขึ้นพระวิหารชัยภูมิ พระวิหารหลังนี้มีลักษณะกว้างหลังคาหลายชั้น มีทางขึ้น-ลงทางเดียวคือบันไดด้านหน้า พอดีได้พบกับพระภิกษุผู้ดูและพระวิหารท่านเลยเปิดให้เข้าชมและสักการะนมัสการพระพุทธรูปบนพระวิหารได้
          บันไดพระวิหารชัยภูมิ ด้วยลักษณะของอาคารไม้สีดำทั้งหลังมองภายนอกดูเข้มขลัง ภายในใต้หลังคากลับประดับตกแต่งด้วยสีแดงและสีทองแต่ถ้าหากไม่มาดูภายในมองแต่เพียงจากด้านนอกก็จะไม่รู้เลย
          บานหน้าต่างประตูสลักลายเดียวกัน บนพระวิหารชัยภูมิมีหน้าต่างประตูหลายบานลวดลายการแกะสลักสวยงามเป็นแบบเดียวกันทั้งหมด
         ภายในพระวิหารชัยภูมิวัดจองคำลำปาง เมื่อเปิดประตูเข้าไปความรู้สึกก็จะเปลี่ยนไปเพราะคาดไม่ถึงว่าอาคารไม้สีดำทะมึนจากภายนอกเมื่อเข้ามาแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีแดงและการประดับลวดลายสีทองที่สวยงามแม้ว่าจะปิดหน้าต่างเกือบทุกบานแต่กลับรู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูก
พระแก้วมรกตจำลอง ในพระวิหารแห่งนี้เป็นสถานที่เก็บรักษาพระพุทธรูปหลายองค์ มีทั้งศิลปะแบบไทยและศิลปะพม่า พระพุทธรูปแกะสลักจากไม้ต้นเดียวกันทั้งองค์ททั้งปางประทับยืนที่ดูเหมือนจะแกะสลักได้ง่าย และปางประทับนั่งซึ่งต้องเซาะเนื้อไม้ออกเป็นจำนวนมาก
        เจ้าอาวาสพระภิกษุชาวพม่า เป็นเจ้าอาวาสรูปหนึ่งเมื่อครั้งครองวัดอยู่มีพุทธศาสนิกชนชาวพม่านำพระพุทธรูปแกะสลักจากไม้ทั้งต้นมาถวายจำนวนมากที่เห็นอยู่ในพระวิหารหลังนี้ ด้านล่างรูปท่านมีตู้เก็บพัดยศของท่านรักษาไว้เป็นอย่างดี
พระพุทธรูปแกะสลักจากไม้ต้นเดียว พระพุทธรูปองค์นี้เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องประทับนั่ง แกะจากไม้ต้นเดียวและคงเป็นองค์ที่แกะสลักได้ยากที่สุด ลวดลายปราณีตสวยงาม แต่เนื่องจากประดิษฐานไว้มุมหนึ่งของวิหารด้านในสุดแสงสว่างลอดเข้าจากประตูทางเข้ามีน้อยมาก และองค์พระมีสีเข้มจึงถ่ายภาพลวดลายมาได้ไม่ชัดเจนเท่าไหร่
อุโบสถวัดจองคำ มีจุดเด่นที่หน้าจั่วและหน้าบรรณ ที่แกะสลักจากไม้ด้วยรูปพญานาคลดระดับมีเทพพนมแต่ศิลปะแบบพม่า อยู่ตำแหน่งรอบๆ อุโบสถเหมือนกับเสมาของวัดศิลปะแบบไทย ความแปลกของอุโบสถหลังนี้ยังอยู่ที่ตำแหน่งของ          อุโบสถซึ่งอยู่มุมด้านหน้าซ้ายสุดของวัดด้านข้างของอุโบสถชิดกำแพงข้างวัดเทพพนมศิลปะพม่า จุดเด่นที่พระพักตร์หรือใบหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยน ดูใกล้ๆ รู้สึกว่าเป็นใบหน้าที่เปี่ยมด้วยเมตตาสูง

พระเจดีย์วัดจองคำ อยู่ด้านหน้าอุโบสถ เป็นท้ายสุดของการพาชมวัดจองคำพระอารามหลวงบนทางหลวงหมายเลข 1 ที่มีคนผ่านไปผ่านมาเป็นจำนวนมากแต่ไม่ค่อยได้มีโอกาสแวะเข้ามา...

วัดพระธาตุลำปางหลวง

  




วัดพระธาตุลำปางหลวง

ตามตำนานกล่าวว่า ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระเถระสามองค์ได้เสด็จจาริกไปตามบ้านเมืองต่าง ๆ จนถึงบ้านลัมภะการีวัน หรือ บ้านลำปางหลวงในปัจจุบัน พระพุทธเจ้าได้ประทับเหนือดอยม่อนน้อย มีชาวลัวะคนหนึ่งชื่อลัวะอ้ายกอน เกิดความเลื่อมใส ได้นำน้ำผึ้งบรรจุกระบอกไม้ป้างมะพร้าว และมะตูมมาถวายพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ได้ฉันน้ำผึ้งแล้วทิ้งกระบอกไม้ป้างไปทางทิศเหนือ แล้วทรงพยากรณ์ว่า สถานที่แห่งนี้ต่อไปจะมีชื่อว่า ลัมพกัปปะนคร แล้วได้ทรงลูบพระเศียรได้พระเกศามาหนึ่งเส้น มอบให้แก่ลัวะอ้ายกอนผู้นั้น ลัวะอ้ายกอนได้นำพระเกศานั้น บรรจุในผอบทองคำ และใส่ลงในอุโมงค์พร้อมกับถวายแก้วแหวนเงินทองเป็นเครื่องบูชา แล้วแต่งยนต์ผัด(ยนต์หมุน) รักษาไว้ และถมดินให้เรียบเสมอกัน แล้วก่อเป็นพระเจดีย์สูงเจ็ดศอกเหนืออุโมงค์นั้น ในสมัยต่อมาก็ได้มีกษัตริย์เจ้าผู้ครองนครลำปางอีกหลายพระองค์ มาก่อสร้างและบูรณะซ่อมแซม จนกระทั่งเป็นวัดที่มีความงามอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
   ในทางประวัติศาสตร์นครลำปาง วัดพระธาตุลำปางหลวงมีประวัติว่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๒๗๕ นครลำปางว่างจากผู้ครองนคร และเกิดความวุ่นวายขึ้น สมัยนั้นพม่าเรืองอำนาจได้แผ่อิทธิพลปกครองอาณาจักรล้านนาไว้ได้ทั้งหมด พม่าได้ยึดครองนครเชียงใหม่ ลำพูน โดยแต่งตั้งเจ้าผู้ครองนครอยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์พม่า ท้าวมหายศเจ้าผู้ครองนครลำพูนได้ยกกำลังมายึดนครลำปาง โดยได้มาตั้งค่ายอยู่ภายในวัดพระธาตุลำปางหลวง ครั้งนั้น หนานทิพย์ช้าง ชาวบ้านปงยางคก (ปัจจุบันอยู่อำเภอห้างฉัตร) วีรบุรุษของชาวลำปาง ได้รวบรวมพลทำการต่อสู้ทัพเจ้ามหายศ โดยลอบเข้ามาในวัด และใช้ปืนยิงท้าวมหายศตาย แล้วตีทัพลำพูนแตกพ่ายไป ปัจจุบันยังปรากฏรอยลูกปืนอยู่บนรั้วทองเหลืองที่ล้อมองค์พระธาตุเจดีย์ ต่อมาหนานทิพย์ช้างได้รับสถาปนาขึ้นเป็น พระยาสุลวะลือไชยสงคราม เจ้าผู้ครองนครลำปาง และเป็นต้นตระกูล ณ ลำปาง เชื้อเจ็ดตน ณ เชียงใหม่ ณ ลำพูน ณ น่าน
พระธาตุลำปางหลวง ลักษณะทางสถาปัตยกรรม เป็นเจดีย์กลมทรงระฆังคว่ำ(แต่ในหนังสือพระเจดีย์ในล้านนา โดย สถาบันวิจัยสังคม ม.เชียงใหม่ กลับเรียกว่า เจดีย์แบบพุกามล้านนา เนื่องจากมีการปิดทองจังโกคล้ายแบบพุกามนั่นเอง) ปิดทองจังโกทั่วทั้งองค์เจดีย์ รูปทรงหนักแน่น ไม่ชลูดเหมือนเจดีย์แห่งอื่นๆ รอบๆพระธาตุมีการล้อมรอบด้วยรั้วเหล็ก โคมรั้ว มีการสร้างซุ้มประตูโขงอยู่ทางทิศใต้ของพระธาตุ บริเวณรั้วเหล็กมีเรื่องเล่าถึง รอยกระสุนปืน ที่หนานทิพย์ช้างยิงปืนสังหาร ท้าวมหายศ เมื่อช่วงพุทธศตวรรษที่ 23
       ปรากฏในตำนานพระธาตุลำปางหลวงที่กล่าวถึง การเสด็จมาถึงของพระพุทธเจ้า ที่บ้านลัมภะการีวัน(บ้านลำปางหลวง) เมื่อเสด็จอยู่ดอยม่อนน้อย ขณะนั้นมีชายผู้หนึ่ง นาม"ลัวะอ้ายกอน" เห็นพระพุทธเจ้า เกิดมีความเลื่อมใสได้นำเอาน้ำผึ้งบรรจุกระบอกไม้ป้าง(ไม้ช้าวหลามไม้เปราะ) มะพร้าวและมะตูมอย่างละ 4 ลูกน้อมถวายพระองค์ และพระองค์ก็มอบพระเกษาและได้มีพุทธพยากรณ์ต่อไปว่า ในอนาคต จะมีพระอรหันต์นำเอาอัฐิพระนลาต(หน้าผาก)ข้างขวา และอัฐิลำคอข้างหน้าหลังมาบรรจุไว้ในนี้

 ” เหตุการณ์สร้างวีระบุรุษ คำกล่าวที่มักใช้กันอยู่บ่อยๆในปัจจุบัน แต่ในอดีตนั้นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาก็ได้ สร้างวีระบุรุษมากมายมาแล้วเช่นกัน

       ” เจ้าทิพย์ช้าง เจ้าผู้ครองเขลางค์นคร หรือนครลำปาง อดีตนั้นเป็นเพียงแค่พรานป่าหรือพรานหนุ่ม ผู้ถูกร้องขอจากขุนนางเมืองในสมัยนั้น ให้ช่วยกอบกู้เมืองลำปางที่ตกอยู่ในการครอบครองของพม่า และพรานป่าผู้กล้านี้ก็ได้ทำสำเร็จ เมื่อปี พ.ศ. 2275 โดยปลอมตัวเข้าไปในเขตชั้นในที่พม่าใช้วัดพระธาตุลำปางหลวงเป็นที่ตั้งมั่น แล้วลอบฆ่าแม่ทัพพม่าจนเสียชีวิต ซึ่งรอยกระสุนจากการสู้รบ และร่องรอยการหลบหนี ยังปรากฏอยู่ที่วัดพระธาตุลำปางหลวงมาจนถึงทุกวันนี้ 

       นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งที่เหตุการณ์ได้สร้างวีระบุรุษในยุคอาณาจักรล้านนา ซึ่งเป็นยุคสุดท้ายก่อนที่จะรวมกับไทยภาคกลางหรือ กรุงศรีอยุธยา ให้เป็นอาณาจักรไทยผืนแผ่นเดียวกัน 

       ปัจจุบัน หากใครมีโอกาสไปเที่ยววัดพระธาตุลำปางหลวง ก็คงมองหารอยกระสุนที่ว่านี้ได้ไม่ยากนัก เพราะอยู่บริเวณหน้า พระธาตุเจดีย์ ตรงรั้วทองเหลือง ซึ่งมีป้ายบอกไว้ชัดเจน รูกระสุน 2 รู เบ่อเร่อ คงทำให้คนรุ่นปัจจุบันอดไม่ได้ที่จะคิดถึง อาวุธสงครามในสมัยนั้น ในยุค ที่ยังใช้ดาบ ใช้หอก เป็นอาวุธที่ใช้ต่อสู้ข้าศึกศัตรู

       กระสุนอะไรทำไมรุนแรงถึงขนาดทะลุเหล็กทองเหลืองของรั้ว ทั้งๆที่เมื่อสมัยสองร้อยกว่าปีก่อนยังเป็นยุคใช้ปืนแก๊ป
ต้องอัดดินปืน ต้องอัดหัวกระสุนเหล็ก กว่าจะยิงแต่ละนัดก็ใช้เวลานาน แต่ปืนแก๊ปสมัยนั้นก็มีอานุภาพ ยิงทะลุรั้วทองเหลืองได้ เป็นสิ่งที่ผู้คนยุคนี้อดทึ่งไม่ได้ ใครไปเที่ยววัดพระธาตุลำปางหลวงก็ไม่ควรพลาดชมในจุดนี้

วัดพระแก้วดอนเต้า





วัดพระแก้วดอนเต้า หรือ วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม ตั้งอยู่ที่ตําบลเวียงเหนือ อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง วัดพระแก้วดอนเต้าเป็นวัดที่เก่าแก่และสวยงาม มีอายุนับพันปี เคยเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) ตั้งแต่ปี พ.ศ.1979 เป็นเวลานานถึง 32 ปี เหตุที่วัดพระแก้วดอนเต้าได้ชื่อว่า วัดพระแก้วดอนเต้า มีตํานานกล่าวว่า นางสุชาดา ได้พบแก้วมรกตในแตงโม (ภาษาเหนือเรียกว่าหมากเต้า) และนำมา ถวายเจ้าอาวาส เพื่อแกะสลักเป็นพระพุทธรูป ซึ่งก็คือ พระแก้วดอนเต้า ต่อมาถูกอัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดพระธาตุ ลําปางหลวง จนถึงปัจจุบัน  ปูชนียสถานที่สําคัญในวัดพระแก้วดอนเต้า ได้แก่ พระเจดีย์องค์ใหญ่ บรรจุพระเกศาธาต ุของพระพุทธเจ้า มณฑปศิลปะพม่า ลักษณะงดงาม ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ใหญ่ วิหารประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ ที่มีอายุเก่าพอๆกับวัดนี้ นอกจากนี้ยังมี วิหารหลวงและพิพิธภัณฑสถานแห่งล้านนา การเดินทางไปยังวัดพระแก้วดอนเต้า ต้องข้ามสะพานรัชฎาภิเษกแล้วเลี้ยวขวาไปตามถนนพระแก้ว ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตรจะเห็นองค์พระธาตุ ตั้งเด่นอยู่ บนเนิน วัดพระแก้วดอนเต้า เป็นที่ตั้งของพระบรมธาตุดอนเต้าซึ่งเป็นพระเจดีย์องค์ใหญ่ บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้ามณฑปศิลปะพม่า ลักษณะงดงาม ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ใหญ่และวิหารประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ ซึ่งมีอายุเก่าแก่พอๆกับการสร้างวัดนี้ นอกจากนี้ยังมีวิหารหลวงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติล้านนาและวิหารพระเจ้าทองทิพย์
  เมื่อ พ.ศ.1979 พระเจ้าสามฝั่งแกนเจ้าเมืองเชียงใหม่ ทรงจัดขบวนแห่เพื่อรับพระแก้วมรกตจากเชียงรายไปเชียงใหม่ แต่ขบวนแห่มาถึงทางแยกที่จะไปนครลำปาง ช้างที่รับเสด็จพระแก้วมรกตวิ่งตื่นไปทางเมืองลำปาง แม้หมอควาญจะขู่เข็ญเล้าโลมประการใดก็ไม่ยอมไปทางเชียงใหม่ ในที่สุดพระเจ้าสามฝั่งแกนก็ต้องยอมให้อัญเชิญพระแก้วมรกต ประดิษฐานไว้ ณ วัด พระแก้วดอนเต้า ประทับอยู่วัดนี้เป็นเวลา 32 ปี ครั้นลุ พ.ศ.2011 พระเจ้าติโลกราช เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ จึงได้อัญเชิญพระแก้วมรกตไปเชียงใหม่
วัดสุชาดารามสร้างขึ้นราว พ.ศ.2325-2352 เมื่อครั้งชาวเชียงแสนถูกกวาดต้อนมาตั้งชุมชนในเมืองเขลางค์ เพื่อระลึกถึงคุณงามความดีของนางสุชาดาหลังจากได้รับโทษประหารชีวิตด้วยความเข้าใจผิดและมาปรากฎความจริงในภายหลัง เชื่อกันว่าที่ตั้งของวัดแห่งนี้คือบ้านและไร่แตงโมของ เจ้าแม่สุชาดาในอดีต ต่อมาเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2527 กระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินการรวมวัดสุชาดารามเข้ากับวัดพระแก้วดอนเต้า และเรียกวัดแห่งนี้ว่า วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม
       อุโบสถวัดสุชาดารามเป็นสถาปัตยกรรมแบบพื้นเมืองฝีมือช่างเชียงแสน มีลักษณะเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน ประดับด้วยภาพจิตรกรรมลายไทยลงรักปิดทอง ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยบนฐานชุกชี อุโบสถแห่งนี้ได้ทำการบูรณะเมื่อ พ.ศ.2465 พ.ศ.2503 และในปี พ.ศ.2550 เนื่องในโอกาสฉลองศิริราชสมบัติครบ 60 ปี

เหตุที่วัดนี้ได้ชื่อว่าวัดพระแก้วดอนเต้า มีตำนานกล่าวว่า นางสุชาดา ได้พบแก้วมรกตในแตงโม (หมากเต้า) และนำมาถวายพระเถระรูปนั้นจึงจ้างช่างให้นำมรกตนั้นไปแกะสลักเป็นพระพุทธรูปซึ่งก็คือ พระแก้วดอนเต้า ซึ่งต่อมาได้รับการอัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดพระธาตุลำปางหลวงสาเหตุจากตำนานบอกว่า มีผู้ไปฟ้องเจ้าเมืองลำปางในขณะนั้นว่า พระเถระและนางสุชาดาเป็นชู้กัน เจ้าเมืองลำปางจึงให้จับนางสุชาดาไปประหารชีวิต ส่วนพระเถระองค์นั้นทราบข่าวก็ได้อัญเชิญพระพุทธรูปหนีไป โดยได้นำไปฝากไว้ที่วัดพระธาตุลำปางหลวงจนถึงปัจจุบัน ส่วนสถานที่ตั้งบ้านของนางสุชาดาก็ได้มีผู้มีจิตศรัทธาในคุณงามความดีของนาง บริจาคเงินสร้างวัดขึ้นชื่อวัดสุชาดาราม แต่มีบางสันนิษฐานบอกว่าเนื่องจากวัดพระแก้วดอนเต้า และ วัดสุชาดาราม นั้นร้างลง แต่บางที่ก็มีการสันนิษฐานเพิ่มว่า น่าจะเป็นเพราะย่านนี้เป็นสวนหมากเต้า และเป็นที่ดอน จึงชื่อพระธาตุว่า พระบรมธาตุดอนเต้า และชื่อวัดว่า วัดพระธาตุดอนเต้า และต่อมาเมื่อมีการประดิษฐานพระแก้วดอนเต้า จึงเปลี่ยนชื่อเป็น วัดพระแก้วดอนเต้า

วันจันทร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

รูปไม่หล่อมีสิทธิไหมครับ


การปลูกต้นอ่อนทานตะวัน

วิธีเพาะเมล็ดงอกทานตะวัน
1. เตรียมวัสดุเพาะ ได้แก่ขุยมะพร้าวร่อน 4 ส่วน ขี้เถ้าแกลบร่อน 1 ส่วน หรือจะใช้ขุยมะพร้าวร่อน กับดินร่อน 1 ต่อ 1 ก็ได้ นำมาผสมให้เข้ากัน
2.  แช่เมล็ดทานตะวันในน้ำอุ่นทิ้งไว้ 1 คืน หรืออย่างน้อย 8 ชั่วโมง
3. นำวัสดุปลูกใส่ภาชนะ  เช่นตะกร้าขนมจีน หรือตะกร้าที่มีตาถี่ หากไม่มีก็สามารถใช้ภาชนะปลูกอะไรก็ได้ แต่ขอให้มีรูระบายน้ำ โดยแนะนำให้ใส่วัสดุเพาะประมาณ ¾ ส่วนของภาชนะ แล้วรดน้ำให้ชุ่ม
4.  โรยเมล็ดทานตะวันที่แช่น้ำแล้ว เกลี่ยให้ทั่วแล้วโรยขุยมะพร้าวที่เหลือกลบด้านหน้าเล็กน้อย รดน้ำให้ชุ่มอีกครั้ง
นำไปวางไว้ในที่ร่ม รดน้ำเช้า-เย็น อดใจรอประมาณ 4-5 วันก็สามารถตัดมากินได้ แต่เมล็ดทานตะวันจะงอกได้เพียงครั้งเดียว ดังนั้นถ้าติดใจก็ต้องเตรียมเพาะกันใหม่อีกรอบนะคะ 
ขอฝากไว้อีกอย่างหนึ่งก็คือ ใครที่อยากจะลองกินเมล็ดทานตะวันเพาะงอก เวลาไปหาซื้อเมล็ดพันธุ์ก็ขอให้พิถีพิถันสักหน่อย คือให้เลือกเมล็ดทานตะวันที่ไม่มีการเคลือบหรือคลุกยากันแมลงมา วิธีดูก็สังเกตสี โดยปกติเมล็ดจะเป็นสีดำ แต่ถ้าคลุกยาเราก็มักจะเห็นเป็นสีออกขาวๆ หากนำมาเพาะกินก็อาจเป็นอันตรายได้นะคะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน 
ส่วนเรื่องเมนูอาหาร สุดเเท้เเต่ใครจะสร้างสรรค์เลยค่ะ ต้นอ่อนเมล็ดงอกเหล่านี้สามารถกินได้ทั้งเเบบสด คือกินเเนมกับน้ำพริก กินกับน้ำสลัด หรือจะนำไปลวก ไปต้มจืด ไปผัก ไปเเกงก็ได้ทั้งนั้นค่ะ
ทานตะวันงอก หรือต้นอ่อนทานตะวัน (Sunflower Sprout) จากการเพาะเมล็ดดอกทานตะวัน เป็นผักทางเลือกใหม่ที่มีคุณค่าทางอาหารสูงทีเดียว มีโปรตีนสูงกว่าถั่วชนิดอื่น ๆ มีวิตามินหลายชนิดทั้ง วิตามินเอ วิตามินอี ที่สามารถช่วยบำรุงสายตา และผิวพรรณ วิตามินบี 1 บี 6 บี 12 ที่ช่วยบำรุงสมอง ป้องกันโรคสมองเสื่อมด้วย
          ทานตะวันงอกจะมีกลิ่นหอม กรอบ และมีรสชาติหวาน สามารถกินได้ทั้งแบบสด หรือจะนำไปปรุงอาหารเป็นเมนูอร่อย ๆ ได้หลายอย่างไม่ว่าจะเป็น ใส่ในสลัดหรือยำแซบ ๆ จะนำไปผัดเป็นเมนูทานตะวันงอกผัดน้ำมันหอย ทำอาหารประเภทต้มและแกง จับใส่ลงในแกงจืด แกงส้ม แกงเลียง หรือใส่ในก๋วยเตี๋ยวแทนถั่วงอกก็อร่อย หรือจะนำไปทำเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพก็ได้ด้วย







กศน.ตำบลหลวงหนือ

ประวัติความเป็นมาของกศน.ตำบลหลวงเหนือ
          กศน.ตำบลหลวงเหนือเดิมใช้ชื่อ  ศูนย์การเรียนชุมชนตำบลหลวงเหนือ  ดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอนให้แก่กลุ่มเป้าหมายในเขตตำบลหลวงเหนือ
          พ.ศ.2549  สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดลำปาง (เดิมศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดลำปาง  สำนักบริหารงานการศึกษานอกโรงเรียน) มีนโยบายให้ขยายการให้บริการสู่ชุมชนอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกันตาม พรบ.การศึกษาชาติ กำหนดให้ กศน.มี ศูนย์การเรียนประจำตำบลทุกตำบล
          กศน.ตำบลหลวงเหนือ จึงเริ่มก่อตั้งโดยได้รับอนุญาตให้ใช้อาคารของ อส. ให้จัดตั้งเป็น ศูนย์การเรียนชุมชนตำบลหลวงเหนือ,หลวงใต้ (ยังดำเนินกิจกรรมรวม 2 ตำบล)  โดยได้รับอนุญาตจากนายอำเภองาวให้ใช้อาคารกองร้อยอาสาสมัครเก่ารมรวม รียนชุมชนตำบลหลวงเหนือ,หลวงใต้อาคารของ อส.งเรียน จนกระทั่งในปัจจุบันได้มีการจัดตั้งเป็นกศน.ตำบลหลวงเหนือ มีนางสาวธนิตา  ชายป่า เป็นครู ศรช. ประจำกศน.ตำบลหลวงเหนือ

ประวัติความเป็นมาตำบลหลวงเหนือ
          เดิมทีเดียว  ตำบลหลวงเหนือเป็นที่ตั้งตั้งตัวเมืองเงิน  หรือเมืองงาว  ในราวปีพ.ศ. ๒๕๗๒  เมื่อเขลางค์นครหรือนครลำปาง  มีเจ้าผู้ครองนครแล้ว  เมืองงาวที่เคยขึ้นต่อพะเยา  ได้รวมกันขึ้นตรงต่อนครลำปาง  และเจ้าผู้ครองนครลำปาง  ได้ใช้เมืองงาวนี้เป็นเมืองหน้าด่าน  หรือด่านหน้า  ป้องกันข้าศึกสมัยนั้น(ส่วนมากเป็นพวกเงี้ยว,ฮ่อและพม่า  ที่ขยายอำนาจและอิทธิพลมายึดครองหัวเมืองต่างๆทางภาคเหนือ  ส่วนหนึ่งที่เรียกว่าแคว้นลานนาไทย)  นครลำปางเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นลานนาไทย  แต่ทว่าได้กู้อิสรภาพจากพม่ามีเจ้าปกครองเอง  และอาศัยบารมีเจ้าทางใต้คอยคุ้มกัน
          สมัยรัตนโกสินทร์  ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.๕)  เปลี่ยนระบบการปกครองแบบเจ้าผู้ครองนคร  ระยะแรก  ยังไม่สามารถส่งข้าราชการมาปกครองต่งพระเนตรพระกรรณได้นั้น  ก็ให้ผู้ครองนคร  ช่วยตั้งบุคคลที่ไว้ใจและมีคนนับหน้าถือตา  เป็นพ่อเมืองพรางๆก่อน
          คำว่าหลวง  หมายถึง ใหญ่,มากมาย,กว้างขวาง  เพื่อสะดวกในการปกครองดูแลความทุกข์สุขราษฎร  จึงแบ่งทั้งบ้านและคนที่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำงาวเป็นตำบลหลวงใต้  ซึ่งมีประชากรและบ้านเรือนน้อยกว่า  ส่วนทางฝั่งขวาแม่น้ำงาวเป็นตำบลหลวงเหนือ  เพราะมีคนมากกว่าและอยู่ทางทิศเหนือ  ด้วยเหตุที่มีประชาชนและบ้านเรือนตั้งอยู่ในฝั่งขวามากกว่า  ฝั่งขวาเป็นที่ตั้งของคุ้มหลวง  คือที่อยู่ของพ่อเมืองครั้งสุดท้าย   ผู้คนจึงอพยพตามมาจากบ้านห่าง(บริเวณวัดนาค,วัดนิโครต เดิม) มาอยู่ฝั่งขวาใกล้กับพ่อเมือง  ซึ่งมีฐานะดุจนายอำเภอในปัจจุบัน
          สมัยมีนายอำเภองาวคนที่๖  คือ  ขุนประเทศอุตรทิศ(รศ.๑๓๐  ถึง พ.ศ. ๒๔๕๖)ผู้ที่เป็นกำนันคนแรกของตำบลหลวงเหนือ  ชื่อนายยศ  คนต่อมาชื่อนายคำ  ต่อมาสมัยนายอำเภอขุนประสานสุขประชา(พ.ศ. ๒๔๕๗ ๒๔๖๔ ) มีกำนันคนใหม่มียศเป็นขุน  ขุนเหนือนรการ  ซึ่งสมัยนี้มีการปกครองระบบเทศาภิบาลแล้ว  ตำบลหลวงเหนือมีสภาพท้องที่เจริญกว่าตำบลอื่นๆ  เพราะเป็นตำบลที่ตั้งของที่ว่าการอำเภองาว  มีย่านชุมชน  ย่านการค้าขาย(ตลาด)และสมัยต่อทาเป็นเขตสุขาภิบาลดอนไชย(ปัจจุบัน คือ เทศบาลตำบลหลวงเหนือ)

          ปัจจุบัน  ตำบลหลวงเหนือ  ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลตำบลหลวงเหนือ  เป็นจุดศูนย์กลางที่ตั้งของหน่วยงานสำคัญๆ  เช่น  สถานีตำรวจภูธรงาว  ที่ทำการไปรษณีย์โทรเลข  ธนาคารออมสิน  โรงพยาบาลประจำอำเภอ    โรงเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย  ธนาคารทหารไทยเป็นต้น